top of page
download (2)_edited.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg

Dritte Sonate (D moll) fur Pianoforte und Violine Op.108 - (J.Brahms)

     บทเพลงไวโอลินโซนาต้าลำดับที่สามของบรามส์ประพันธ์ขึ้นในปี 1886 และแล้วเสร็จในปี 1888 ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นมาเพื่ออุทิศให้แก่เพื่อนรักของเขา Hans von Bülow และถูกนำเสนอครั้งแรกที่ บูดาเปสต์โดย Jenő Hubay 

     ในตอนแรก บทเพลงนี้ถูกเรียกว่า Pianoforte und Violine ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบทเพลงนี้ให้ค่ากับตัวเปียโนมากกว่าไวโอลิน อีกทั้งเพื่อนรักที่เขาแต่งเพลงให้ยังเป็นนักเปียโน ดังนั้นจึงทำให้ชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นมาอย่างมีความหมาย 

     ผลงานชิ้นนี้นับว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่เลื่องชื่อของบรามส์ ทั้งในแง่ของท่วงทำนองอันไพเราะติดหูและลักษณะการประพันธ์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์อย่าง "economy and riches" หรือก็คือการใช้โน๊ตเพียงเล็กน้อยในแนวไวโอลิน แต่แฝงไปด้วยนัยยะสำคัญมากมายในทำนองประสานของแนวเปียโน และยิ่งเมื่อทั้งสองแนวรวมเข้าด้วยกัน มันจึงทำให้ผลงานชิ้นนี้มีความแปลกและพิเศษมากขึ้น

     และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงอาศัยจุดเด่นในการประพันธ์นี้มาเชื่อมโยงเข้ากับหลักอภิปรัชญาของเพลโต โดยเปรียบว่าท่วงทำนองของทั้งสองแนวทำนองนั้นเป็นเหมือนกับ "เงา" โดยที่ความหมายโดยนัยหรือ "ความจริง" ของตัวเพลงนั้นเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแนวทำนองทั้งสอง โดยจะมีเพียงการผสานกันของแนวทำนองทั้งสองเท่านั้น ผู้ฟังจึงจะสามารถตระหนักถึง "ความจริง" ของบทเพลงชิ้นนี้ได้

Screenshot 2023-05-27 095208.jpg
Screenshot 2023-05-27 095438.jpg

Brahms Violin Sonata 3 op 108 ประพันธืเมื่อปี 1888 เป็นผลงาน Violin Sonata เพลงสุดท้ายของ Brahms บทเพลงโดยรวมมีความสุขุม ลึกซึ้ง และ harmony มีความอิ่มหนาตามแบบฉบับของ Brahms มีการผสมผสานระหว่าง tradition tonality และ chromaticism เพลงนี้แบ่งออกเป็น 4 ท่อนได้แก่

Allegro

ท่อนแรกมีโครงสร้าง Sonata ตามแบบขนบธรรมเนียมดั้งเดิม Exposition นำเสนอทำนองหลักโดย violin ตามด้วยการพัฒนาและการพลิกแพลงทำนองหลักในช่วง Development หลังจากนั้นนำทำนองแรกกลับมานำเสนอใหม่แต่เปลี่ยนแนวเปียโนประกอบในช่วง Recapitulation เป็นการกลับมายังบันไดเสียงเดิมแล้วจบด้วย Coda ที่ทรงพลัง

Adagio

ท่อนนี้มีความช้า เนิบนาบแต่ไพเราะอ่อนหวานตามแบบฉบับ Adagio ท่อนนี้มีโครงสร้างแบบ Ternary form คือ ABA โดยท่อน B มีความโดดเด่นอย่างมาก ในท่อน A Brahms ได้นำทำนองหลักมาพลิกแพลงไปมาโดยการดัดแปลงและเติมโน้ตประดับ

Unpoco

มีลักษณะคล้ายกับบทเพลง Scherzo ที่มีโครงสร้างแบบ trio คือ ABA

Presto Agitato

ท่อนนี้ใช้โครงสร้างแบบ Rondo มีการนำเสนอส่วนทำนองหลักและสลับกับทำนองอื่นไปๆมาๆ โดยนำทำนองแรกจอกท่อนแรกมานำเสนอใหม่ ท่อนนี้เปียโนมีความโดดเด่นใากเพราะมีเทคนิคการเล่นที่ยาก

Capriccio Valse, op. 7 - (H. Wieniawski)

     บทเพลงนี้ได้ถูกประพันธ์ขึ้นมาในปี 1852 และแล้วเสร็จในปี 1854 มันถูกนำมาบรรเลงครั้งในที่ไลป์ซิก โดยคำว่า "Caprices" หรือ "Capriccio" นั้นสามารถสื่อได้ถึงความไม่แน่นอนหรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ นอกจากนี้ บทเพลง"Caprices" ในสมัยนั้นก็ยังสามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะถูกกำหนดโดยคำที่เติมอยู่ด้านหลัง ซึ่งในบทเพลงนี้ ประเภทของมันก็คือ "Valse" หรือก็คือ "Waltz" ซึ่งหมายถึงการเต้นรำนั่นเอง

     และเนื่องจากความอิสระและความไม่แน่นอนของเพลง มันจึงทำให้ตัวเพลงสามารถตีความออกมาได้มากมายหลากหลายรูปแบบ หรือจะเปรียบกันในเชิงปรัชญาก็คือ มันสามารถทำให้เกิด "เงา" ขึ้นได้หลายแบบ และด้วยเหตุนี้เอง การจะค้นหาเอา "ความจริง" จากเงาเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้งานชิ้นนี้มีสีสันและความท้าทายมากยิ่งขึ้น

Screenshot 2023-05-27 100000.jpg
Screenshot 2023-05-27 100057.jpg

Capriccio Valse, H Wieniawski


Capriccio valse ของ Wieniawski นั้นอยู่ในบันไดเสียง E major ในจังหวะ ¾ โดยมีโครงสร้างฉันทลักษณ์แบบ Rondo คือ

Intro-A(A)-B-A-C-A-B-A-Coda

Intro

เปียโนบรรเลงเดี่ยวนำเสนอทำนองด้วย Arpeggio ที่ล้อมาจาก Theme ของท่อน A แต่อยู่ในรูปแบบตัวเขบ็ต 1 ชั้น ในห้องที่ 3 มีลักษณะคล้ายกับการถอนหายใจซ้ำไปมา เห็นได้จากเขบ็ต 1 ปะจุด ตามด้วย 2 ชั้น แล้วเล่นเทคนิค sequence ซ้ำแล้วไล่ขึ้นสูงเพื่อส่งเข้าคอร์ด V จากนั้นทำนองแรกกลับมาอีกครั้งแล้ว Modulation ไปยัง C# minor แล้วจบที่คอร์ด V เพื่อส่งให้ Violin มารับ ก่อนจะกลับมาที่ E major เหมือนเดิมแล้วจบ Introduction ด้วยคอร์ด V

A & (A)

ท่อนนี้เปิดด้วยเปียโนเล่นคลอจังหวะในบันไดเสียง E major แล้วมีไวโอลินบรรเลงทำนองหลักด้วยเทคนิคแพรวพราวและอิสระ ซึ่งส่วนนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแต่ละเครื่องมีบทบาทของตัวเองชัดเจนคือ ไวโอลินเล่นทำนอง เปียโนเล่นประกอบหรือที่เรียก Texture นี้ว่า Homophony แต่จะมีช่วงที่ Modulation เข้า c# minor แล้ว modulate อีกรอบเพื่อเข้า g# minor แล้วจบ A แรกด้วย Cadential 6/4 แล้วส่งเข้า Perfect Cadence จากนั้นรอบย้อนต้นก็ดำเนินเหมือนเดิมทุกประการ

ไวโอลินเล่น Fragment จาก Theme A แต่ทำ Sequence ซ้ำไปมาโดยมีเปียโนเป็นพื้นหลัง ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนอยู่ใน B major อย่างแท้จริงตั้งแต่แรก แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะคอร์ดแรกนั้นเป็น B dominant 7 แล้วส่งเข้า E นั่นหมายความว่าคอร์ด g# minor จาก A นั้น Pivot เข้า E major เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจาก B7 จะส่งเข้า E major ในห้องถัดไป แล้ว pivot ไป B major แล้วจบด้วย Cadence IV V I แบบสมบูรณ์ จากนั้นก็ซ้ำอีกรอบแต่แนวเปียโนเปลี่ยน Texture จากนั้นทำการ Key shift ลงคู่ 3 ไปยัง G major ด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นแบบก้าวกระโดดแล้ว shift กลับมานำ theme B มาซ้ำอีกรอบแล้วจบที่ B major ซึ่งเป็น Pivot เพื่อเข้า A ใหม่

A

เป็นการนำ theme a กลับมาแค่เฉพาะบางส่วนเพื่อ modulate เข้า B major เพื่อเข้าท่อนต่อไป

C

ท่อนนี้มีความตรงไปตรงมาในแง่ของการเดินคอร์ดเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการย้ำ V I วำไปมาในบันไดเสียง E major ท่อนนี้เป็นการตัดสีสันด้วย Staccato และเล่นหยอกล้อไปมาระหว่างไวโอลินและเปียโน แล้วปิดด้วย Cadenza ขนาดย่อมของไวโอลินเพื่อนำเข้า A อีกรอบ

A B A
เหมือนเดิมทุกประการ

Coda 
ท่อนนี้เป็นการนำ Theme a มา Restate ซ้ำไปมา สลับไปมาระหว่างเปียโนและไวโอลิน 

7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
7b4d6e0efd829aea0a63533c05e38850.jpg
bottom of page